L จาก Death note นักสืบที่เหนือกว่า โคนัน (อย่างน้อยก็สูงกว่า)
ตัวละครที่ผมจะนำมาแนะนำในครั้งนี้นั้น หลังจากผมได้นั่งคิด ยืนคิด และก็นอนคิดมาแล้ว ผมก็ตัดสินใจเลือกตัวละครตัวนี้มาแนะนำให้ทุกท่านได้รู้จักตัวละครตัวนี้มีชื่อว่า L มาจาก Death note 1ในการ์ตูนที่ดังมากจนมีการนำมาทำเป็นหนังหลายภาคแล้วL มีชื่อจริงคือ... อ่อ บอกไม่ได้ เดี๋ยวโดนคิระฆ่า เอาเป็นว่า L เป็นนักสืบซึ่งมีหน้าที่ ในการสืบสวนหาตัวคิระหรือฆาตกรต่อเนื่องที่ฆ่าพวกนักโทษที่มีความผิดในคดีต่างๆทั้งหลาย โดย L นั้นเริ่มสืบสวนและสามารถแก้ปริศนาต่างๆได้เช่น วิธีการฆ่าคือต้องเคยเห็นหน้าและต้องมีชื่อจริงของคนๆนั้นอยู่ จากนั้นก็เขียนลงไปในDeath note ที่ยมทูตเอามาให้ แค่นี้ครับ คนที่ถูกเขียนชื่อก็ตายอย่างไม่สามารถต่อต้านได้ หรือ สามารถรู้ถึงที่อยู่ของคิระ นั่นทำให้ผมคิดว่า L นั้นมีความสามารถมากกว่า โคนัน ของคุณ rachgot อยู่มาก ถ้าให้โคนันมาสืบสวนก็คงสู้ไม่ได้ เพราะก่อนที่โคนันจะเตะอะไรอัดคิระก็คงโดนฆ่าตายไปก่อนแล้ว นอกจากนั้นผมยังคิดว่า L นั้นดูดีกว่ามาก ... มั้ง ก็ดูจากท่านั่งอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาได้เท่จริงๆ พับผ่าสิ อ่อ เล่าต่อ L กับ คิระ หรือ ยางามิ ไลท์นั้น ต้องต่อสู้กัน ใช้มันสมองอันเป็นอัจฉริยะของทั้งคู่เข้าเผชิญหน้า หักเหลี่ยม เฉือนคมกัน ซึ่งเป็นการ์ตูนที่หาได้ยาก เพราะส่วนใหญ่จะเป็นการ์ตูนที่ต่อสู้กันโดยใช้กำลังเช่น Bleach หรือ One piece นั้นเอง แต่การต่อสู้ครั้งนี้ L ก็ได้พ่ายแพ้ให้กับยางามิ ไลท์หรือ คิระซึ่งเป็นพระเอกที่ดูเหมือนจะเป็นตัวร้ายในสายตาคนหลายๆคน L แพ้และก็ได้ถูกฆ่าตายไป ต่อจากนั้นก็มี NและM มาสานต่อในการไล่จับคิระ แต่ผมคงไม่เล่าต่อแล้ว เพราะ L ตายไปแล้ว ถ้าใครอยากรู้ก็ไปอ่านในการ์ตูนเอาเองก็แล้วกัน ออกมาจนจบแล้ว ลาละครับ ต้องรีบเอาแอปเปิ้ลไปให้ลุคกิน เดี๋ยวมันลงแดงขึ้นมาจะแย่
วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
วันอังคารที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
บล็อกอื่น
นอกจากใน บล็อกส่วนตัวของผมแล้วนั้น ผมก็ยังเป็นคนเขียนเกี่ยวกับการ์ตูนที่บล็อกอีกบล็อกหนึ่ง นั่นคือ บล็อก ourjabs.blogspot.com ซึ่งเป็นบล็อกเรื่องราวเกี่ยวกับการ์ตูน ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการ์ตูน บล็อกนี้นั้น เป็นบล็อกเกี่ยวกับการบันเทิง ความรู้ ได้อ่านการ์ตูนสนุกๆที่แต่งขึ้นพร้อมกับเพื่อนอีกหลายๆคน
ก็อยากให้ทุกคนลองเข้าไปดูด้วยนะครับ
ก็อยากให้ทุกคนลองเข้าไปดูด้วยนะครับ
เรื่องสั้น
คุณเชื่อเรื่องสวรรค์กับนรกมั้ย ครับ วันนี้ผมจะไม่พูดถึงสวรรค์หรอก แต่ผมจะพูดถึงนรกแทนกับเรื่องสั้นที่ผมแต่งขึ้นเอง
ในปัจจุบันนี้นั้น คนเราได้ทำความชั่วกันมาก ในขณะที่ผู้คนที่ทำความดีนั้น ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่คนที่ทำความชั่วนั้น กลับมากขึ้นเป็นเลขยกกำลัง
สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหา นั่นก็คือ
นรกกำลังจะเต็ม
สิ่งนี้เป็นปัญหามาก ในขณะที่นรกกำลังจะเต็มแต่กลับมีคนที่ทำความชั่วแล้วต้องตกนรกอยู่เป็นจำนวนมาก นั่นทำให้เหล่ายมทูต ผู้ดูแลนรกปวดหัวมาก
ในที่สุดก็เหลือที่นั่งสุดท้ายสำหรับนรก
เหล่ายมทูตทั้งหมดจึงปรึกษากันถึงวิธีการแก้ปัญหา
สุดท้าย ทั้งหมดจึงตัดสินใจให้แต่ละคนมาบอกความผิดที่ตนเองได้ทำเอาไว้ ใครทำผิดมากสุด ใครทำชั่วมากสุด ก็จะได้ตีตั๋วใบสุดท้ายไปนรก (ใครมันจาอยากไปนะ)
หลังจากผ่าน ผู้คนที่ทำความชั่วมามากมาย เช่น คนค้ายาบ้า คนที่ทุจริต โกงกินประเทศชาติ คนที่ทำร้ายผู้อื่น ฆ่าผู้อื่น ก็มาถึงผู้ชายคนหนึ่ง
"เอ้า เจ้าทำอะไรผิดล่ะ" ยมทูตที่ชื่อว่า ลุค (*-*) ได้ถามกับชายคนนั้น
"ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ"ชายคนนั้นยืนกราน นั่นทำให้ลุคงง
"แล้วเจ้าลงนรกมาได้ไง"
"ไม่รู้ครับ ผมเห็นคนๆนั้น ฆ่าคน"เขาชี้ไปที่คนหน้าเถื่อนๆคนหนึ่งที่เดินอยู่ แล้วเขาก็ชี้ไปเรื่อยๆพร้อมบอกความผิดที่คนๆนั้นทำ "คนนั้นข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่ง คนนั้น..."
"จริง รึ"
"ใช่ครับ แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย"
"ไม่ได้ทำอะไรเลย"ลุคพูดด้วยรอยยิ้มดีใจ"เจ้าเห็นแต่เจ้าไม่เข้าไปยุ่งเลยรึ"
"ใช่ครับ"ชายคนนั้นตอบอย่างงงๆ
"ดีใจด้วย"ลุคตรบมือให้พร้อมบอกต่อ"นรกที่สุดท้ายเป็นของเจ้าแล้ว"
เรื่องที่ผมแต่งขึ้นมานี้ มีข้อคิดคือ เราควรที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเวลาที่เขามีความลำบาก ไม่ควรเป็นคนเห็นแก่ตัว นั่นเอง
ในปัจจุบันนี้นั้น คนเราได้ทำความชั่วกันมาก ในขณะที่ผู้คนที่ทำความดีนั้น ลดลงอย่างรวดเร็ว แต่คนที่ทำความชั่วนั้น กลับมากขึ้นเป็นเลขยกกำลัง
สิ่งนี้ทำให้เกิดปัญหา นั่นก็คือ
นรกกำลังจะเต็ม
สิ่งนี้เป็นปัญหามาก ในขณะที่นรกกำลังจะเต็มแต่กลับมีคนที่ทำความชั่วแล้วต้องตกนรกอยู่เป็นจำนวนมาก นั่นทำให้เหล่ายมทูต ผู้ดูแลนรกปวดหัวมาก
ในที่สุดก็เหลือที่นั่งสุดท้ายสำหรับนรก
เหล่ายมทูตทั้งหมดจึงปรึกษากันถึงวิธีการแก้ปัญหา
สุดท้าย ทั้งหมดจึงตัดสินใจให้แต่ละคนมาบอกความผิดที่ตนเองได้ทำเอาไว้ ใครทำผิดมากสุด ใครทำชั่วมากสุด ก็จะได้ตีตั๋วใบสุดท้ายไปนรก (ใครมันจาอยากไปนะ)
หลังจากผ่าน ผู้คนที่ทำความชั่วมามากมาย เช่น คนค้ายาบ้า คนที่ทุจริต โกงกินประเทศชาติ คนที่ทำร้ายผู้อื่น ฆ่าผู้อื่น ก็มาถึงผู้ชายคนหนึ่ง
"เอ้า เจ้าทำอะไรผิดล่ะ" ยมทูตที่ชื่อว่า ลุค (*-*) ได้ถามกับชายคนนั้น
"ผมไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะ"ชายคนนั้นยืนกราน นั่นทำให้ลุคงง
"แล้วเจ้าลงนรกมาได้ไง"
"ไม่รู้ครับ ผมเห็นคนๆนั้น ฆ่าคน"เขาชี้ไปที่คนหน้าเถื่อนๆคนหนึ่งที่เดินอยู่ แล้วเขาก็ชี้ไปเรื่อยๆพร้อมบอกความผิดที่คนๆนั้นทำ "คนนั้นข่มขืนผู้หญิงคนหนึ่ง คนนั้น..."
"จริง รึ"
"ใช่ครับ แต่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย"
"ไม่ได้ทำอะไรเลย"ลุคพูดด้วยรอยยิ้มดีใจ"เจ้าเห็นแต่เจ้าไม่เข้าไปยุ่งเลยรึ"
"ใช่ครับ"ชายคนนั้นตอบอย่างงงๆ
"ดีใจด้วย"ลุคตรบมือให้พร้อมบอกต่อ"นรกที่สุดท้ายเป็นของเจ้าแล้ว"
เรื่องที่ผมแต่งขึ้นมานี้ มีข้อคิดคือ เราควรที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเวลาที่เขามีความลำบาก ไม่ควรเป็นคนเห็นแก่ตัว นั่นเอง
วันจันทร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
วิเคราะห์การเรียน โดย -PiNg-
กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่งนะครับ สำหรับในคราวนี้ ผมจะมาวิเคราะห์เกี่ยวกับการเรียนในโรงเรียน
การเรียนในโรงเรียนนี้นั้น ผมคิดว่า การที่เราจะเรียนในโรงเรียนได้อย่างมีความสุขและมีผลดีคือ ได้รับความรู้ในด้านต่างๆอย่างเต็มที่นั้น การที่เราเอาแต่จะตั้งใจเรียนอย่างเดียวนั้น ไม่เกิดผลดีเลย ผมคิดว่า การใช้ชีวิตในโรงเรียนให้คุ้มค่า และดี คือ เราจะต้องทำกิจกรรมต่างๆควบคู่ไปกับการเรียนด้วย เช่น การประกอบกิจกรรมชมรม เป็นต้น ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เราเป็นคนดี มีนิสัยดี และรู้จักสิ่งต่างๆมากขึ้น โรงเรียนไม่ใช่ที่ๆให้แต่ความรู้ในด้านวิชาการเท่านั้น โรงเรียนยังให้สิ่งต่างๆอีกมากมาย เป็นที่ขัดเกลาความประพฤติ จริยธรรมต่างๆให้ดี เป็นคนดีของสังคม ซึ่งก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ความรู้เช่นกัน
สำหรับบางคนนั้น อาจจะเห็นว่า บางวิชาเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ มีมาทำไม เช่น วิชาดนตรี ศิลปะ เป็นต้น เอาเวลาไปเรียนวิชาทางคณิตศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ดีกว่า ซึ่งผมขอบอกว่า มันเป็นความคิดที่ผิดมาก การที่เราเรียนวิชาพวกนี้ เช่น ศิลปะ หรือ ดนตรี มันจะทำให้เรามีสมาธิ และมีจิตใจดี ใจเย็น มั่นคง
สุดท้าย เราใช้เวลาอยู่ในโรงเรียนประมาณ 1 ใน 3 ของวันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น เราจึงควรทำอย่างไรก็ได้ให้เรามีความสุข สนุกในเวลาเรียน ไม่เครียดเกินไป แล้วการเรียนในโรงเรียนของคุณก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น
การเรียนในโรงเรียนนี้นั้น ผมคิดว่า การที่เราจะเรียนในโรงเรียนได้อย่างมีความสุขและมีผลดีคือ ได้รับความรู้ในด้านต่างๆอย่างเต็มที่นั้น การที่เราเอาแต่จะตั้งใจเรียนอย่างเดียวนั้น ไม่เกิดผลดีเลย ผมคิดว่า การใช้ชีวิตในโรงเรียนให้คุ้มค่า และดี คือ เราจะต้องทำกิจกรรมต่างๆควบคู่ไปกับการเรียนด้วย เช่น การประกอบกิจกรรมชมรม เป็นต้น ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้เราเป็นคนดี มีนิสัยดี และรู้จักสิ่งต่างๆมากขึ้น โรงเรียนไม่ใช่ที่ๆให้แต่ความรู้ในด้านวิชาการเท่านั้น โรงเรียนยังให้สิ่งต่างๆอีกมากมาย เป็นที่ขัดเกลาความประพฤติ จริยธรรมต่างๆให้ดี เป็นคนดีของสังคม ซึ่งก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้ความรู้เช่นกัน
สำหรับบางคนนั้น อาจจะเห็นว่า บางวิชาเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ มีมาทำไม เช่น วิชาดนตรี ศิลปะ เป็นต้น เอาเวลาไปเรียนวิชาทางคณิตศาสตร์ หรือ วิทยาศาสตร์ดีกว่า ซึ่งผมขอบอกว่า มันเป็นความคิดที่ผิดมาก การที่เราเรียนวิชาพวกนี้ เช่น ศิลปะ หรือ ดนตรี มันจะทำให้เรามีสมาธิ และมีจิตใจดี ใจเย็น มั่นคง
สุดท้าย เราใช้เวลาอยู่ในโรงเรียนประมาณ 1 ใน 3 ของวันเลยทีเดียว เพราะฉะนั้น เราจึงควรทำอย่างไรก็ได้ให้เรามีความสุข สนุกในเวลาเรียน ไม่เครียดเกินไป แล้วการเรียนในโรงเรียนของคุณก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น
วิเคราะห์สถานการณ์เกมในประเทศไทย โดย -PiNg-

สวัสดีครับ ผม นาย -PiNg- จะมาวิเคราะห์สถานการณ์เกมในประเทศไทยกันนะครับ
ก่อนอื่นเริ่มจาก เกมคืออะไร
ในข้อนี้นั้น ผมคิดว่า เกมก็เป็นกีฬา ชนิดหนึ่งครับ ในต่างประเทศนั้นเช่น ประเทศจีน เกาหลี เขาถือว่าเกมเป็นกีฬาชนิดหนึ่งซึ่งผมก็คิดเช่นนั้น เพียงแต่เราไม่ต้องออกกำลังกายแต่เป็นการใช้ความคิดแทน ผมว่ามันก็เหมือนกับ พวกหมากกระดาน หรือ crossword ในต่างประเทศนั้น พวกโปรเกมเมอร์หรือ นักเล่นเกมของเขาดังพอๆกะดาราเลยนะ แต่ในประเทศของเรานั้น ผมคิดว่า ผู้ปกครองยังมองเกมผิดๆอยู่มาก การเล่นเกมนั้นให้ประโยชน์ในหลายๆด้าน ต่างจากที่ผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่ บางคนคิด เช่น การเล่นเกมทำให้ผมรู้ถึงคำศัพท์ภาษาอังกฤษใหม่ๆมากมาย (จริงๆนะ) และก็ยังทำให้ผมรู้จัก คิด แก้ปัญหา และเป็นการฝึกสมาธิอีกด้วย แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น การที่เราจะเล่นเกมให้เกิดประโยชน์นั้น เราต้องรู้จักแบ่งเวลาให้ถูกต้อง ไม่ใช่วันๆเอาแต่เล่นเกม (เช่นผม) นอกจากนี้ การเล่นเกมก็มีข้อดีอีก คือ ทำให้เด็กไม่ไปเถลไถลที่ไหน ดีกว่าให้เด็กออกไปตามแหล่งมั่วสุมต่างๆ (พูดเหมือนลืมว่าเราก็เด็ก) การเล่นเกมนั้นมีข้อดีหลายอย่างแต่ทุกๆอย่างก็มีข้อเสียเช่นกัน คือ การเล่นเกมถ้าไม่ค่อยรู้จักรักษาเวลาก็อาจส่งผลกระทบในด้านลบได้ เช่น ทำให้ผลการเรียนตก (ไม่ต้องไปไหนไกล ผมเนี่ยแหละ) การที่เราจะทำบางสิ่งให้เกิดประโยชน์นั้น เราต้องทำมันอย่างพอดี ไม่มากเกินไป ตามหลัก ทางสายกลางที่พระพุทธเจ้า สั่งสอนไว้ ถ้าคุณทำได้ตามที่ผมบอก คุณก็จะสามารถเล่นเกมเพื่อผ่อนคลายสมอง และทำให้เกิดประโยชน์ได้แน่นอน
วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551
เนื้อเพลง Melodies of Life เพลงประกอบ Final FantasyIX
Alone for a while I've been searching through the dark
For traces of the love you left inside my lonely heart
To weave by picking up the pieces that remain
Melodies of life, love's lost refrain
Our paths they did cross, now I cannot say just why
We met, we laughed, we held on fast, and then we said goodbye
And who'll hear the echoes of stories never told
Let them ring out loud till they unfold
In my dearest memories, I see you reaching out to me
Though you're gone, I still believe that you can call out my name
* A voice from the past, joining yours and mine Adding up the layers of harmony And so it goes on and on Melodies of life, to the sky beyond the flying birds Forever and beyond (on)
So far and away, see the birds as it flies by
Gliding through the shadows of the clouds up in the sky
I've laid my memories and dreams upon those wings
Leave them now and see what tomorrow brings
In your dearest memories, do you remember loving me
Was it fate that brought us close and now leave me behind
[Repeat *]
If I should leave this lonely world behind
Your voice will still remember our melody
Now I know we'll carry on Melodies of life, come circle round and grow deep in our hearts As long as we remember
For traces of the love you left inside my lonely heart
To weave by picking up the pieces that remain
Melodies of life, love's lost refrain
Our paths they did cross, now I cannot say just why
We met, we laughed, we held on fast, and then we said goodbye
And who'll hear the echoes of stories never told
Let them ring out loud till they unfold
In my dearest memories, I see you reaching out to me
Though you're gone, I still believe that you can call out my name
* A voice from the past, joining yours and mine Adding up the layers of harmony And so it goes on and on Melodies of life, to the sky beyond the flying birds Forever and beyond (on)
So far and away, see the birds as it flies by
Gliding through the shadows of the clouds up in the sky
I've laid my memories and dreams upon those wings
Leave them now and see what tomorrow brings
In your dearest memories, do you remember loving me
Was it fate that brought us close and now leave me behind
[Repeat *]
If I should leave this lonely world behind
Your voice will still remember our melody
Now I know we'll carry on Melodies of life, come circle round and grow deep in our hearts As long as we remember
วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2551

เพลง: แสงหนึ่งคือรุ้งงามเพลง
ประกอบนิทรรศการเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ในโอกาสเจริญพระชนมายุครบ ๘๔ พรรษาศิลปิน: นภ พรชำนิ
บรรเลงเพลง: โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร
คำร้อง: บอย โกสิยพงษ์ทำนอง: บอย โกสิยพงษ์เรียบเรียง: บอย โกสิยพงษ์
บรรเลงเพลง: โต๋ ศักดิ์สิทธิ์ เวชสุภาพร
คำร้อง: บอย โกสิยพงษ์ทำนอง: บอย โกสิยพงษ์เรียบเรียง: บอย โกสิยพงษ์
รู้ไหมว่าเราซาบซึ้งใจแค่ไหน และรู้ไหมว่าเรานั้น ปลาบปลื้มเท่าไหร่ ที่ได้มีเธอ เป็นพลังอันสำคัญ
เพราะว่าเรานั้นรู้เธอทำเพื่อใคร เหน็ดเหนื่อยแค่ไหน เธอไม่ไหวหวั่น เพื่อที่จะให้เรานั้นได้เดินต่อไป
แม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นเธอ แต่ว่าสำหรับเรานั้น...
** เธอเหมือนดังกับแสง ที่มองไม่เห็น แต่เมื่อส่องมาสะท้อน สิ่งที่ซ่อนเร้น ก็เด่นชัดขึ้นทันที เปรียบเธอกับแสง แม้ไม่มีสี แต่เธอก็สะท้อน ความจริงให้โลกนี้ ได้พบเห็นสิ่งดีๆ ว่างดงามเพียงใด
ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้ จะเป็นเช่นไร วันและคืนจะหมุนเปลี่ยนสักเท่าไหร่ เรานั้นก็แน่ใจ ว่าจะมีเธอยืนอยู่ข้างหลัง
แม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นเธอ แต่สำหรับเรานั้น...
(**)
จึงอยากขอมอบเพลง เพลงนี้ให้...ให้เธอรับรู้สำหรับเรานั้นเธอสำคัญเพียงไหน
เธอเป็นดั่งแสง ที่มองไม่เห็น แต่เมื่อส่องมาสะท้อน สิ่งที่ซ่อนเร้น ก็เด่นชัดขึ้นทันที เปรียบเธอกับแสง แม้ไม่มีสี แต่เธอก็สะท้อน ความจริงให้โลกนี้ ได้พบเห็นสิ่งดีๆ ว่างดงามเพียงใด
เธอได้สะท้อน ความจริงให้โลกนี้ ได้พบเห็นสิ่งดีๆ ว่างดงามเพียงใด..เพราะเธอมาสะท้อน ความจริงให้โลกนี้ จึงพบเห็นสิ่งดีๆ ว่างดงามเพียงใด..
เพราะว่าเรานั้นรู้เธอทำเพื่อใคร เหน็ดเหนื่อยแค่ไหน เธอไม่ไหวหวั่น เพื่อที่จะให้เรานั้นได้เดินต่อไป
แม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นเธอ แต่ว่าสำหรับเรานั้น...
** เธอเหมือนดังกับแสง ที่มองไม่เห็น แต่เมื่อส่องมาสะท้อน สิ่งที่ซ่อนเร้น ก็เด่นชัดขึ้นทันที เปรียบเธอกับแสง แม้ไม่มีสี แต่เธอก็สะท้อน ความจริงให้โลกนี้ ได้พบเห็นสิ่งดีๆ ว่างดงามเพียงใด
ถึงแม้ว่าพรุ่งนี้ จะเป็นเช่นไร วันและคืนจะหมุนเปลี่ยนสักเท่าไหร่ เรานั้นก็แน่ใจ ว่าจะมีเธอยืนอยู่ข้างหลัง
แม้ว่าจะไม่มีใครมองเห็นเธอ แต่สำหรับเรานั้น...
(**)
จึงอยากขอมอบเพลง เพลงนี้ให้...ให้เธอรับรู้สำหรับเรานั้นเธอสำคัญเพียงไหน
เธอเป็นดั่งแสง ที่มองไม่เห็น แต่เมื่อส่องมาสะท้อน สิ่งที่ซ่อนเร้น ก็เด่นชัดขึ้นทันที เปรียบเธอกับแสง แม้ไม่มีสี แต่เธอก็สะท้อน ความจริงให้โลกนี้ ได้พบเห็นสิ่งดีๆ ว่างดงามเพียงใด
เธอได้สะท้อน ความจริงให้โลกนี้ ได้พบเห็นสิ่งดีๆ ว่างดงามเพียงใด..เพราะเธอมาสะท้อน ความจริงให้โลกนี้ จึงพบเห็นสิ่งดีๆ ว่างดงามเพียงใด..
คุณค่าของเวลา
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 10 ปีมีค่าขนาดไหน ถามคู่แต่งงานที่เพิ่งหย่าร้างกัน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 4 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัย
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 9 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามแม่ที่เพิ่งคลอดลูก
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามมารดาที่คลอดบุตรยังไม่ครบกำหนด
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 อาทิตย์มีค่าขนาดไหน ถามบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าขนาดไหน ถามคนรักที่รอพบกัน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 นาทีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทาง หรือเรือบิน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาทีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลาเสี้ยวหนึ่งของวินาทีมีค่าขนาดไหน ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ชนะเหรียญเงิน
Time go fast but now what are you doing
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 4 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนิสิตนักศึกษาที่เพิ่งรับปริญญาจากมหาวิทยาลัย
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ปีมีค่าขนาดไหน ถามนักเรียนที่สอบไล่ตก
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 9 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามแม่ที่เพิ่งคลอดลูก
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 เดือนมีค่าขนาดไหน ถามมารดาที่คลอดบุตรยังไม่ครบกำหนด
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 อาทิตย์มีค่าขนาดไหน ถามบรรณาธิการหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 ชั่วโมงมีค่าขนาดไหน ถามคนรักที่รอพบกัน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 นาทีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่พลาดรถไฟ รถประจำทาง หรือเรือบิน
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลา 1 วินาทีมีค่าขนาดไหน ถามคนที่รอดตายจากอุบัติเหตุอย่างหวุดหวิด
ถ้าท่านอยากรู้ว่าเวลาเสี้ยวหนึ่งของวินาทีมีค่าขนาดไหน ถามนักกีฬาโอลิมปิคที่ชนะเหรียญเงิน
Time go fast but now what are you doing
เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความรัก
- A man overtime falls in love with the woman he is attracted to, and a woman overtime becomes more attracted to the man she loves. ผู้ชายมักจะตกหลุมรักคนที่เค้าหลงเสน่ห์ และผู้หญิงจะหลงเสน่ห์คนที่เธอตกหลุมรัก - To love is nothing. To be loved is something. To love and be loved is everything!! การได้รักเป็นเรื่องขี้ผง การถูกรักเป็น "บางอย่าง" ทีเดียว ส่วนการได้รักและการถูกรักเป็นทุกอย่าง
- You may only be one person to the world but you may also be the world to one person. คุณอาจจะเป็นแค่ "คน ๆ หนึ่ง" ในโลกใบนี้ แต่คุณอาจจะเป็น "โลกทั้งใบ" ของคนคนหนึ่งก็ได้
- Friendship often ends in love, but love in friendship- never. มิตรภาพมักจะจบลงด้วยความรัก แต่ความรักไม่มีวันจบลงด้วยมิตรภาพ
- You know when you love someone when you want them to be happy even if their happiness means that you're not part of it. (อันนี้ต้องขอบอกว่าโปรดมากค่ะ) คุณรู้ว่า คุณรักเค้าก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้เค้ามีความสุข แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายความถึงการที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน
-Love looks not with the eyes, but with the mind. ความรักนั้น เห็นไม่ได้ด้วยตา แต่ด้วยใจ
- Love is like standing in the wet cement. The longer you stay, the harder it is to leave. And you can never go without leaving your shoes behind. ความรักก็เหมือนซีเมนต์เปียก ๆ ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งติดหนึบ จากไปไม่ได้เท่านั้น และคุณจะไม่มีวันจากมาได้เลย โดยที่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าไว้ข้างหลัง
- Don't marry a person you can live with, marry somebody you can't live without. จงอย่าแต่งงานกับคนที่คุณ "อยู่ด้วยได้" จงแต่งงานกับคนที่คุณ "ขาดไม่ได้"
- Don't rely on the past to create the future, rely on the future to erase the past. อย่าวางใจใช้อดีตเป็นตัวสร้างอนาคต แต่จงใช้อนาคตเป็นตัวลบอดีตทิ้งไป
- Love will die if held too tightly; love will fly if held too lightly. รักจะเฉาตายถ้ายึดไว้แน่นเกินไป และรักจะโบยบินไปถ้ายึดไว้หย่อนเกินไป
- If you love someone tell them, don't wait or else you will lose the chance. ถ้าคุณรักใคร บอกเค้าซะ อย่ารีรออยู่เลย ไม่งั้นคุณจะเสียโอกาสนะ
- It only takes a second to say "I love you", but it will take a lifetime to show you how much. ใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า "ชั้นรักเธอ" แต่ใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่า รักมากเพียงไร
- Love, is like water, we take it for granted. Thus, when it is gone, it becomes crucial. ความรักก็เหมือนน้ำ เรามักจะเห็นมันเป็นของตาย ต่อเมื่อ มันหมดไปแล้ว นั่นละ ... มันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น
- True love is like ghosts, which everyone talks about but few have seen. รักแท้ก็เหมือนกับปีศาจ ทุกคนพูดถึง แต่มีคนน้อยมากที่ได้เห็นว่าเป็นอย่างไร
- The essential sadness is to go through life without loving. But it would be almost equally sad to leave this world without ever telling those you loved that you love them. ความเศร้าที่สำคัญคือการชีวิตโดยปราศจากความรัก แต่มันคงจะเศร้าเกือบจะพอ ๆ กันที่จะจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกคนที่คุณรักว่า คุณรักพวกเค้า"
- To love is to risk not being loved in return. To hope is to risk pain. To try is to risk failure, but risk must be taken, because the greatest hazard in life is to risk nothing. การที่ได้รักคือการเสี่ยงว่าจะไม่ได้รับความรักเป็นการตอบแทน การตั้งความหวังคือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด การพยายามคือการเสี่ยงกับความล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือ การไม่เสี่ยงอะไรเลย
- When loving someone...never regret what you do...only regret what you didn't do. เวลารักใคร ... อย่าเสียใจในสิ่งที่คุณได้กระทำ จงเสียใจในสิ่งที่คุณไม่ได้กระทำ
- Gravity cannot be held responsible for people falling in love. เวลาคนตกหลุมรักน่ะ ... โทษแรงโน้มถ่วงไม่ได้ จริงมั้ยล่ะ
- You may only be one person to the world but you may also be the world to one person. คุณอาจจะเป็นแค่ "คน ๆ หนึ่ง" ในโลกใบนี้ แต่คุณอาจจะเป็น "โลกทั้งใบ" ของคนคนหนึ่งก็ได้
- Friendship often ends in love, but love in friendship- never. มิตรภาพมักจะจบลงด้วยความรัก แต่ความรักไม่มีวันจบลงด้วยมิตรภาพ
- You know when you love someone when you want them to be happy even if their happiness means that you're not part of it. (อันนี้ต้องขอบอกว่าโปรดมากค่ะ) คุณรู้ว่า คุณรักเค้าก็ต่อเมื่อคุณต้องการให้เค้ามีความสุข แม้ว่าความสุขนั้นจะหมายความถึงการที่คุณไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน
-Love looks not with the eyes, but with the mind. ความรักนั้น เห็นไม่ได้ด้วยตา แต่ด้วยใจ
- Love is like standing in the wet cement. The longer you stay, the harder it is to leave. And you can never go without leaving your shoes behind. ความรักก็เหมือนซีเมนต์เปียก ๆ ยิ่งคุณอยู่นานเท่าไหร่ก็ยิ่งติดหนึบ จากไปไม่ได้เท่านั้น และคุณจะไม่มีวันจากมาได้เลย โดยที่ไม่ได้ทิ้งรองเท้าไว้ข้างหลัง
- Don't marry a person you can live with, marry somebody you can't live without. จงอย่าแต่งงานกับคนที่คุณ "อยู่ด้วยได้" จงแต่งงานกับคนที่คุณ "ขาดไม่ได้"
- Don't rely on the past to create the future, rely on the future to erase the past. อย่าวางใจใช้อดีตเป็นตัวสร้างอนาคต แต่จงใช้อนาคตเป็นตัวลบอดีตทิ้งไป
- Love will die if held too tightly; love will fly if held too lightly. รักจะเฉาตายถ้ายึดไว้แน่นเกินไป และรักจะโบยบินไปถ้ายึดไว้หย่อนเกินไป
- If you love someone tell them, don't wait or else you will lose the chance. ถ้าคุณรักใคร บอกเค้าซะ อย่ารีรออยู่เลย ไม่งั้นคุณจะเสียโอกาสนะ
- It only takes a second to say "I love you", but it will take a lifetime to show you how much. ใช้เวลาแค่เพียงชั่ววินาทีในการบอกว่า "ชั้นรักเธอ" แต่ใช้เวลาตลอดชีวิตในการแสดงให้เห็นว่า รักมากเพียงไร
- Love, is like water, we take it for granted. Thus, when it is gone, it becomes crucial. ความรักก็เหมือนน้ำ เรามักจะเห็นมันเป็นของตาย ต่อเมื่อ มันหมดไปแล้ว นั่นละ ... มันจะกลายเป็นสิ่งจำเป็น
- True love is like ghosts, which everyone talks about but few have seen. รักแท้ก็เหมือนกับปีศาจ ทุกคนพูดถึง แต่มีคนน้อยมากที่ได้เห็นว่าเป็นอย่างไร
- The essential sadness is to go through life without loving. But it would be almost equally sad to leave this world without ever telling those you loved that you love them. ความเศร้าที่สำคัญคือการชีวิตโดยปราศจากความรัก แต่มันคงจะเศร้าเกือบจะพอ ๆ กันที่จะจากโลกนี้ไปโดยไม่ได้บอกคนที่คุณรักว่า คุณรักพวกเค้า"
- To love is to risk not being loved in return. To hope is to risk pain. To try is to risk failure, but risk must be taken, because the greatest hazard in life is to risk nothing. การที่ได้รักคือการเสี่ยงว่าจะไม่ได้รับความรักเป็นการตอบแทน การตั้งความหวังคือการเสี่ยงกับความเจ็บปวด การพยายามคือการเสี่ยงกับความล้มเหลว แต่ยังไงก็ต้องเสี่ยง เพราะสิ่งที่อันตรายที่สุดในชีวิตก็คือ การไม่เสี่ยงอะไรเลย
- When loving someone...never regret what you do...only regret what you didn't do. เวลารักใคร ... อย่าเสียใจในสิ่งที่คุณได้กระทำ จงเสียใจในสิ่งที่คุณไม่ได้กระทำ
- Gravity cannot be held responsible for people falling in love. เวลาคนตกหลุมรักน่ะ ... โทษแรงโน้มถ่วงไม่ได้ จริงมั้ยล่ะ
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)

